- 1. ฮอกไกโด (Hokkaido) ดินแดนเหนือสุดของประเทศญี่ปุ่น ที่ชาว Pantip หลงรัก!
- 1.1. เที่ยวฮอกไกโด (Hokkaido) แบบสุดคุ้ม ชาว Pantip แนะนำต้อง JR HOKKAIDO PASS
- 1.2. การเดินทางท่องเที่ยวด้วยตัวเอง ณ ฮอกไกโด (Hokkaido) โดยชาว Pantip
- 1.3. มารู้จักกับ 30 สถานที่ท่องเที่ยว ที่ขาว Pantip แนะนำว่าไม่ควารพลาด ณ ฮอกไกโด (Hokkaido)
- 1.4. บทสรุปส่งท้าย : ฮอกไกโด (Hokkaido) น่าไปเที่ยวตามรอยชาว Pantip หรือเปล่า!?
ฮอกไกโด (Hokkaido) ดินแดนเหนือสุดของประเทศญี่ปุ่น ที่ชาว Pantip หลงรัก!
ฮอกไกโด (Hokkaido).. เป็นดินแดนทางภาคเหนือสุดของประเทศญี่ปุ่น ที่ขึ้นชื่ออย่างมากในฐานะดินแดนแห่งหิมะที่ในช่วงหน้าหนาวจะมีหิมะหนาให้ได้สัมผัสกันอย่างจุใจ แต่ในช่วงฤดูกาลอื่น ฮอกไกโด (Hokkaido) ก็ยังคงเป็นดินแดนที่น่าเที่ยว ที่เต็มไปด้วยศิลปะ วัฒนธรรม รวมไปถึงของกินอร่อยมากมายอีกด้วย ถ้าหากใครกำลังวางแผนอยากที่จะไปท่องเที่ยว ณ ฮอกไกโด (Hokkaido) สักครั้ง ลองมาฟังคำแนะนำจากชาว Pantip ผ่านบทความชิ้นนี้ได้เลย
15 จุดถ่ายรูปสุดปัง! ชมภูเขาไฟฟูจิซัง ของชาว Pantip ณ คาวากุจิโก (Kawaguchiko)
เที่ยวฮอกไกโด (Hokkaido) แบบสุดคุ้ม ชาว Pantip แนะนำต้อง JR HOKKAIDO PASS
มาฟังความเห็นจากสมาชิกชาว Pantip กัน!!!
หากจะเที่ยวในฮอกไกโด ถ้าไม่เช่ารถขับทั้งทริป ยังไงๆเราก็ต้องพึ่ง JR HOKKAIDO PASS อย่างเดียวเท่านั้น เพราะมันไม่มีบัตรแบบอื่นที่สามารถเที่ยวได้รอบเกาะ เราซื้อกับ Wismatravel เพราะราคาถูกกว่าเจ้าอื่น เช็คข้อมูล เช็ครีวิวแล้วโอเค เปิดมานานเป็น 10 ปีแล้ว เลยซื้อ แอดไลน์ไปคุยกับเจ้าหน้าที่ ประทับใจมาก เจ้าหน้าให้คำแนะนำดี ราคา 6600 บาท ถ้าจ่ายบัตรมีชาจ 3% จ่ายเงินเสร็จ วันรุ่งขึ้นเจ้าหน้าที่ให้แมสขับเอา voucher มาส่งที่ทำงานเลย ฟรี มีพวกคูปองดองกี้มาให้ด้วย (แต่ต้องให้เจ้าหน้าที่เช็คก่อนว่าอยู่ในพื้นที่บริการมั้ย)
รวมคำแนะนำจาก 4 กระทู้ปังในPantip ชวนเที่ยวนิกโก้เมืองมรดกโลก
การเดินทางท่องเที่ยวด้วยตัวเอง ณ ฮอกไกโด (Hokkaido) โดยชาว Pantip
มาฟังความเห็นจากสมาชิกชาว Pantip กัน!!!
การเดินทางใน HOKKAIDO หลักๆแล้วถ้าไม่เช่ารถขับก็ต้องพึ่งรถไฟ JR นี่แหละค่ะ เชื่อมต่อทั้งเกาะ แต่ก็มีข้อจำกัดคือ ใช้กับ Subway ใน Sapporo ไม่ได้ / ใช้กับ Tram ใน Saporo และ Hakodate ไม่ได้ / ใช้กับ Donan bus ที่ Toya หรือ Noboribetsu ไม่ได้ พวกนี้ต้องซื้อบัตรแยก แต่ก็ไม่ค่อยคุ้ม ถ้าเรานั่งไม่เยอะ ก็ใช้ IC CARD จ่ายต่างหากเป็นเที่ยวๆไปจะดีกว่าค่ะ
รวม 17 สถานที่เที่ยว ที่ชาว Pantip แนะนำว่าห้ามพลาด ณ Nikko (นิกโก้) ประเทศญี่ปุ่น
มารู้จักกับ 30 สถานที่ท่องเที่ยว ที่ขาว Pantip แนะนำว่าไม่ควารพลาด ณ ฮอกไกโด (Hokkaido)
ขึ้นกระเช้าไปชมความน่ารักของหมีสีน้ำตาลหายากอันเป็นสัญลักษณ์ของฮอกไกโด ที่ถูกอนุรักษ์อยู่ในสวนหมีกว่า 200 ตัวบนยอดเขาหมี (Kumayama) จุดเด่นของฟาร์มแห่งนี้คือ ‘กรงมนุษย์’ ที่เปิดให้คนเข้าไปอยู่ในกรงกระจกใสกลางบ่อเพื่อให้อาหารชมหมีที่ตัวใหญ่เกือบ 2 เมตรในระยะประชิด หากใครที่ชอบแบบน่ารักหน่อย แนะนำให้ไปชม ‘กรงลูกหมี’ ซึ่งจะมีเจ้าเท็ดดี้แบร์ตัวเล็กวิ่งซนไปมาให้ผู้มาเยือนได้ถ่ายรูป นอกจากจะมีเหล่าหมีตัวผู้ ตัวเมีย และลูกหมีให้ชมแล้ว ฟาร์มแห่งนี้ยังมีกิจกรรมอื่นๆอีกมากมายตลอดปี เช่น การแสดงโชว์หมี ที่ครูฝึกจะพาเหล่าหมีสีน้ำตาลมาเล่นลูกบอล กระโดดข้ามรั้ว และโชว์ความสามารถอื่นๆ หากเบื่อหมีแล้วก็สามารถแวะดูการแข่งเป็ดที่อยู่ข้างๆกัน หรือขึ้นไปยังจุดชมวิวชั้นดาดฟ้าเพื่อดูวิวทะเลสาบ Kuttara ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นทะเลสาบที่ใสที่สุดในญี่ปุ่นได้ เนื่องจากสวนหมีแห่งนี้ได้ทำหน้าที่เป็นศูนย์อนุรักษ์และศึกษาพฤติกรรมของหมี จึงมีโซนพิพิธภัณฑ์หมีสีน้ำตาล ให้ผู้ที่สนใจได้ศึกษาประวัติความเป็นมาและความเป็นอยู่ของหมีจากนิทรรศการด้านใน นอกจากนี้ในบริเวณใกล้เคียงยังมีหมู่บ้าน Yukara ซึ่งจำลองย่านที่อยู่อาศัยของชาว Ainu ชนพื้นเมืองฮอกไกโดในสมัยเมจิขึ้นมาเพื่ออนุรักษ์วัฒนธรรมโบราณ หากมีเวลาก็สามารถสัมผัสประสบการณ์แบบย้อนยุคได้ ด้วยการแต่งชุดชาวพื้นเมือง ชมการแสดงและร่วมสนุกไปกับระบำพื้นเมือง (ดูแผนที่ https://goo.gl/maps/cvBZUGpGejR2)
การเดินทาง: จากสถานี JR Noboribetsu ขึ้นรถบัสลงป้าย Noboribetsu Onsen เดิน 5 นาที
เวลาทำการ: 8:30 – 16:00 (ทุกวัน)
ค่าเข้า: ผู้ใหญ่ 2,592 เยน, เด็ก 1,296 เยน (ราคารวมค่ากระเช้าแล้ว)
ขึ้นไปชมวิวเมืองซัปโปโรแบบ 360 องศาที่ความสูง 90 เมตรบนจุดชมวิวของหอทีวีซัปโปโร ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกในสวนสาธารณะ Odori เมื่อมองลงมาจากด้านบนจะได้บรรยากาศคล้ายเซ็นทรัลพาร์คของนิวยอร์ก ในวันที่อากาศแจ่มใสจะสามารถมองเห็นได้ไกลไปถึงอ่าวและที่ราบ Ishikari นอกจากนี้ตัวหอทีวียังมีลักษณะเป็นโครงสร้างเหล็กสีแดงที่จำลองมาจากหอคอยโตเกียว (Tokyo Tower) และเป็นแลนด์มาร์คสำคัญที่อยู่คู่เมืองซัปโปโรมาตั้งแต่ยุคบุกเบิก บนจุดชมวิวยังมีบริเวณที่เรียกว่า Kowa-So ซึ่งเป็นกระจกใส 3 ด้านที่เอนตัวออกไปด้านหน้า เมื่อมายืนที่จุดนี้จะให้ความรู้สึกน่ากลัวคล้ายกับจะตกลงไปได้ เมื่อก้มดูจะสามารถมองเห็นถึงด้านล่างของหอทีวีได้เลย หากใครไม่กลัวความสูงก็เป็นประสบการณ์ที่น่าสัมผัสดูสักครั้งเมื่อมาเยือน สำหรับสายถ่ายภาพที่ต้องการภาพวิวเมืองสวยๆแบบไม่ผ่านกระจก ก็มีจุด hidden spot ที่ต้องเดินลงจากหอชมวิวแทนการลงลิฟท์ ระหว่างทางจะพบรูกลมๆ 2 รูอยู่บนรั้ว ซึ่งสามารถยื่นเลนส์กล้องออกไปเพื่อถ่ายรูปได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีแพ็คเกจสุดพิเศษสำหรับคู่รัก ที่สามารถเหมาบริเวณหอชมวิวหลังปิดให้บริการได้แบบส่วนตัว เป็นเวลา 30 นาที เพื่อจิบไวน์พร้อมดื่มด่ำบรรยากาศยามค่ำคืนสุดโรแมนติกของเมืองซัปโปโรที่ได้ชื่อว่าเป็น 1 ใน 3 วิวกลางคืนที่ดีที่สุดของญี่ปุ่น
การเดินทาง: นั่งรถไฟใต้ดินลงสถานี Odori หรือเดิน 15 นาทีจากสถานี JR Sapporo (ดูแผนที่ https://goo.gl/maps/Pvk4rHvNQ4v) เวลาทำการ: 9:00 – 22:00 (ทุกวัน)
ค่าเข้า: ผู้ใหญ่ 720 เยน, เด็ก 300 เยน
เดินทางเข้าเมืองซัปโปโร มาเที่ยวต่อในตัวเมืองชิลๆ เริ่มจากชมหอนาฬิกาเมืองซัปโปโร สัญลักษณ์สำคัญที่อยู่คู่เมืองซัปโปโรมาตั้งแต่ยุคบุกเบิก และถูกประกาศให้เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมที่สำคัญของชาติตั้งแต่ปี 1970 ตัวอาคารสีขาวตัดกับหลังคาสีแดงสะดุดตากับเสียงระฆังที่ดังกังวาลทุกชั่วโมงทำให้นักท่องเที่ยวนิยมแวะเวียนมาเยี่ยมชม โดยภายในบริเวณชั้น 1 จะมีการจัดแสดงความเป็นมาของตัวอาคาร และประวัติศาสตร์ของเมืองซัปโปโร ส่วนบริเวณชั้น 2 มีการจัดแสดงเรื่องราวและกลไกของตัวนาฬิกาให้ได้ชม หอนาฬิกาแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในปี 1878 แต่เดิมถูกใช้เป็นโรงฝึกของวิทยาลัยเกษตรกรรมซัปโปโร (มหาวิทยาลัยซัปโปโรในปัจจุบัน) โดยมีดอกเตอร์ Clark ชาวอเมริกันเป็นรองผู้อำนวยการ โครงสร้างอาคารจึงมีลักษณะเป็นไม้ตามแบบบ้านในอเมริกายุคบุกเบิก ต่อมาได้มีการสั่งนาฬิกาขนาดใหญ่ของบริษัท Howard Watch & Clock Co. เข้ามาจากบอสตันในปี 1881 ซึ่งได้กลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญของที่แห่งนี้
การเดินทาง: ลงสถานี Odori ทางออก 7 เดิน 5 นาที หรือลงสถานี JR Sapporo ทางออกประตูทิศใต้ เดิน 10 นาที (ดูแผนที่ https://goo.gl/maps/oA25SgzV2mT2)
เวลาทำการ: 8:45 – 17:00 (ทุกวัน)
ค่าเข้า: ผู้ใหญ่ 200 เยน, เด็ก ฟรี
อีกหนึ่งความพิเศษของที่แห่งนี้คือ บรรยากาศที่แตกต่างกันในแต่ละช่วงเวลา ทำให้สามารถกลับมาเยี่ยมชมได้ไม่มีเบื่อ โดยในตอนกลางวันจะสามารถเดินเลียบคลองชมโกดังหินที่ถูกเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์และร้านค้า สัมผัสกลิ่นอายของอดีต เมื่อตกกลางคืน โคมไฟแก๊สจะถูกจุดสว่างไสวไปตามริมคลอง สร้างบรรยากาศสุดโรแมนติกที่ไม่ว่าใครก็ต้องหลงเสน่ห์ ในอดีต คลองความยาวกว่า 1 กิโลเมตรแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นหลังช่วงสงครามโลก เพื่อเป็นช่องทางในการขนส่งสินค้าที่สำคัญของฮอกไกโด โกดังและตึกเก่าในยุคสมัยนั้นจึงยังหลงเหลือให้พบเห็นโดยทั่วไป ต่อมาภายหลังได้มีการปรับปรุง สร้างทางเดินและสวนขึ้น จึงทำให้คลองโอตารุกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมเช่นทุกวันนี้ บริเวณรอบๆคลองยังประกอบไปด้วยสถานที่น่าสนใจหลายแห่ง เช่น สะพานชูโอ ซึ่งเป็นจุดล่องเรือชมคลองทั้งในช่วงกลางวันและกลางคืน และ Canal Plaza ซึ่งนอกจากจะเป็นจุดบริการนักท่องเที่ยวแล้ว ยังมีสินค้าขึ้นชื่อของโอตารุวางขายอยู่ด้วย ในเดือนกุมภาพันธ์จะมีไฮไลท์พิเศษคือ เทศกาลแสงไฟริมคลองโอตารุ (Otaru Snow Light Path) โดยจะมีการจุดเทียนกว่าหนึ่งแสนเล่ม ที่ช่วยสร้างบรรยากาศอบอุ่นแสนโรแมนติกท่ามกลางความหนาวเย็น หากมีโอกาสมาเยือนในช่วงนี้ แนะนำให้เดินทางไปชมเทศกาลหิมะซัปโปโรที่จะจัดขึ้นในเดือนเดียวกัน
การเดินทาง: ลงสถานี JR Otaru เดิน 8 นาที (ดูแผนที่ https://goo.gl/maps/tqts9iTAEEp)
เวลาทำการ: 24 ชั่วโมง
ค่าเข้า: ฟรี
ชมความงามของทุ่งลาเวนเดอร์ในฟาร์ม Tomita แลนด์มาร์คสำคัญของฮอกไกโด ให้สมกับเป็นช่วงหน้าร้อน ซึ่งโดยปกติแล้วจะเริ่มบานตั้งแต่ปลายเดือนมิถุนายนถึงกลางเดือนสิงหาคมของทุกปี ผู้คนมากมายต่างหลั่งไหลเข้ามาถ่ายภาพกับทุ่งดอกไม้สีสันสดใสที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา โดยมีเทือกเขา Tokachi เป็นฉากหลัง นอกจากนั้นยังไม่ควรพลาดไอศกรีมลาเวนเดอร์ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของที่นี่! หรือจะแวะนั่งพักผ่อนหย่อนใจในคาเฟ่ เดินช้อปสินค้าต่างๆที่ทำมาจากลาเวนเดอร์ หรือผลผลิตพื้นเมืองติดไม้ติดมือกลับไปเป็นของฝากก็ได้เช่นกัน แม้จะโด่งดังในเรื่องทุ่งลาเวนเดอร์ แต่ในฟาร์มแห่งนี้ยังมีทุ่งดอกไม้มากถึง 12 แห่ง แตกต่างกันไปตามฤดูกาล หนึ่งในนั้นคือ Irodori หรือที่เรียกว่า ทุ่งดอกไม้เจ็ดสี ประกอบไปด้วยดอกลาเวนเดอร์สีม่วง ดอกยิปโซสีขาว ดอกป๊อปปี้สีแดง ดอกซีลีนสีชมพู ดอกป๊อปปี้แคลิฟอร์เนียสีส้ม เรียงสลับเป็นแถบสีรุ้งที่ทอดตัวยาวไปตามเนินเขา ซึ่งจะบานเต็มที่ในเดือนกรกฏาคม ไฮไลท์ที่น่าสนใจอีกอย่างคือ เวิร์คช็อปทำน้ำหอม ซึ่งเปิดเฉพาะช่วงหน้าร้อน (เดือนกรกฏาคมถึงต้นเดือนตุลาคม) โดยจะมีการสาธิตวิธีสกัดน้ำหอมจากดอกไม้ และการทำสบู่ลาเวนเดอร์ให้ได้ชม นอกจากนั้นยังเปิดให้ผู้เข้าชมเลือกกลิ่นที่ชอบไปทำที่คั่นหนังสือส่วนตัวกลับบ้านได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายอีกด้วย
การเดินทาง: ขึ้นรถไฟจากสถานี Furano หรือสถานี Asahikawa ลงสถานี Lavender Farm เดิน 10 นาที (ดูแผนที่ https://goo.gl/maps/1BrCAvLaL1q) เวลาทำการ: 9:30 – 16:30 (ทุกวัน)
ค่าเข้า: ฟรี
Shirogane Blue Pond ที่สะท้อนกับแสงแดดเป็นประกายสีฟ้าสด โดยมีต้นสนที่ตายแล้วเรียงตัวเป็นฉากหลัง ในวันที่ลมสงบและอากาศแจ่มใส ผืนน้ำในบ่อจะแปรสภาพเป็นกระจกเงาขนาดใหญ่สะท้อนเงาของท้องฟ้า แม้จะมีความงดงามราวกับภาพวาด แต่บ่อน้ำแห่งนี้กลับถูกสร้างขึ้นด้วยความบังเอิญในขณะก่อสร้างเขื่อนป้องกันโคลนถล่มจากภูเขาไฟ สีฟ้าของน้ำเกิดจากแร่ธาตุอลูมิเนียมในน้ำที่ไหลมาจากบ่อน้ำร้อน จึงทำให้แสงสะท้อนออกมาเป็นสีฟ้า ทัศนียภาพและสีฟ้าของบ่อน้ำแห่งนี้ยังแปรเปลี่ยนไปตามฤดูกาลและปริมาณแสงแดดได้อีกด้วย ในฤดูร้อนที่มีแดดมากจะเห็นเป็นสีฟ้าสด ฤดูใบไม้ร่วงจะเห็นเงาสะท้อนของต้นไม้ในป่าด้านหลังที่กำลังเปลี่ยนสีเป็นสีลูกกวาด และที่พลาดไม่ได้คือฤดูหนาวที่ผิวน้ำจะส่องประกายสีฟ้าตัดกับสีขาวโพลนของหิมะ รวมทั้งมีการประดับไฟในช่วงกลางคืน เป็นบรรยากาศชวนฝันราวกับหลุดเข้าไปโลกจินตนาการ
การเดินทาง: รถบัส Dohoku จากสถานี Biei หรือสถานี JR Asahikawa (ดูแผนที่: https://goo.gl/maps/FpnofLDz2mC2)
เวลาทำการ: 24 ชั่วโมง (ทุกวัน)
ค่าเข้า: ฟรี
เดินทางมาที่เมือง Asahikawa เพื่อไปขึ้นกระเช้าลอยฟ้าความสูงกว่า 1,300 เมตรไปยังจุดชมวิวชั้น 5 ของภูเขา Kurodake ซึ่งมีความสูงมากถึง 1,948 เมตร ทำให้สามารถเห็นวิวของเทือกเขา Daisetsuzan อันได้ชื่อว่าเป็นหลังคาของฮอกไกโดได้แบบพาโนรามา หากเดินต่อไปจากจุดชมวิวประมาณไม่กี่ร้อยเมตร จะสามารถขึ้นลิฟท์เก้าอี้ไปยังจุดชมวิวชั้น 7 ซึ่งเป็นชั้นที่สูงที่สุดได้อีกด้วย นอกจากนี้ ภูเขา Kurodake ยังเป็นหนึ่งในจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีแรกของปีในญี่ปุ่น ซึ่งจะเริ่มต้นตั้งแต่เดือนกันยายนไปจนถึงกลางเดือนตุลาคม สำหรับผู้ที่ชื่นชอบกิจกรรมกลางแจ้ง หากมาในช่วงฤดูใบไม้ผลิหรือฤดูร้อนก็สามารถปีนขึ้นไปยังจุดสูงสุดของยอดเขาได้โดยใช้เวลาเพียง 1-2 ชั่วโมงจากจุดชมวิวชั้น 7 หรือหากเป็นช่วงฤดูหนาวก็มีสกีรีสอร์ทให้ได้สนุกสนานกัน
การเดินทาง: ขึ้นรถไฟสาย JR Sekiginjo จากสถานี Kamikawa ต่อรถบัสสาย Soununyo and Kamikawa ประมาณ 30 นาทีไปลง ป้าย Sounon Gorge (ดูแผนที่ https://goo.gl/maps/st4RV5xLNy82)
เวลาทำการ: 8:00 – 16:00 (ทุกวัน)
ค่าเข้า: ผู้ใหญ่ 1,950 เยน, เด็ก 1,000 เยน (ค่ากระเช้าไป-กลับ)
พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรีโอตารุ เป็นแหล่งผลิตและรวบรวมกล่องดนตรีจากทั่วทุกมุมโลก ภายในถูกแต่งด้วยโครงสร้างไม้สไตล์ยุโรป ประดับด้วยแสงไฟสีส้มนวลชวนอบอุ่น เมื่อเดินเข้ามาในตึกหลักจะพบกับกล่องดนตรีหลากหลายรูปแบบที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่ว่าจะเป็นงานไม้ งานแก้ว หรืองานเซรามิค ซี่งถูกสร้างสรรค์เป็นกล่องดนตรีลวดลายต่างๆให้ได้เลือกซื้อติดมือกลับไปเป็นของฝาก โดยระหว่างเลือกยังสามารถเพลิดเพลินไปกับการทดลองเล่นกล่องดนตรีที่สนใจได้อีกด้วย แต่หากยังไม่เจอกล่องดนตรีที่ถูกใจ บริเวณชั้น 3 จะมีมุมให้ลงมือประดิษฐ์กล่องดนตรีของตัวเอง โดยเลือกกล่อง ของประดับ และเพลงได้เองตามใจชอบ เมื่อเดินออกมาบริเวณหน้าตึก จะพบกับหอนาฬิกาไอน้ำ อันเป็นเอกลักษณ์ของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ที่ผู้คนมากมายนิยมถ่ายรูปกลับไปเป็นที่ระลึก โดยตัวนาฬิกามีความเก่าแก่ และเป็นของขวัญที่ได้รับมาจากแวนคูเวอร์ประเทศแคนาดา ซึ่งจะบอกเวลาด้วยเสียงดนตรีทุกๆ 15 นาที
การเดินทาง: ขึ้นรถไฟสาย JR Hakodate ลงสถานี Minami Otaru เดิน 7 นาที (ดูแผนที่ https://goo.gl/maps/DfxyVDKWdMF2)
เวลาทำการ: 9:00 – 18:00 (ทุกวัน ยกเว้นวันศุกร์-เสาร์ ปิด 19:00)
ค่าเข้า: ฟรี
ศาลเจ้า Suitengu ศาลเจ้าชินโตที่ตั้งอยู่บนเนินเขาไม่ไกลจากทะเล ทำให้สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์อันสวยงามของท่าเรือโอตารุและถูเขา Tengu ได้จากบนนี้ ตัวศาลเจ้าถูกสร้างด้วยไม้ซึ่งถูกตกแต่งเป็นสีทองอร่าม มีเอกลักษณ์คือหลังคาสามหลังที่ถูกทาสีเขียวเด่นเป็นสง่า จนได้รับการประกาศให้เป็นสถาปัตยกรรมแลนด์มาร์คที่สำคัญของเมืองโอตารุ บริเวณโดยรอบศาลเจ้าเคยเป็นที่อยู่อาศัยของเหล่าชนชั้นสูง จึงมีคฤหาสน์เก่าแก่และกำแพงหินหลงเหลืออยู่ให้ได้ชม นอกจากนี้ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ผู้คนยังนิยมเดินทางมาสักการะศาลเจ้า และชมความงามของดอกซากุระที่บานสะพรั่งไปพร้อมๆกับวิวทะเลจากศาลเจ้าบนเนินเขาแห่งนี้
การเดินทาง: เดิน 15 นาทีจากสถานี Otaru (ดูแผนที่ https://goo.gl/maps/6Cxpvnpe2FJ2)
เวลาทำการ: 7:00 – 16:00 (ทุกวัน)
ถนนที่อยู่ไม่ไกลจากสถานีโอตารุอย่างถนน Miyako ซึ่งเชื่อมต่อกับถนน Sunmall และถนนซูชิยะ (Sushiya Dori) โดยตลอดทั้งเส้นจะมีร้านค้า คาเฟ่ และร้านอาหาร เรียงรายอยู่ภายใต้หลังคาทรงโค้งสูง เหมาะแก่การเดินเล่นเพลินๆทั้งในวันฝนตกและแดดออก แวะทานซูชิร้านดังที่คัดสรรวัตถุดิบสดใหม่มาให้เลือกมากมาย แล้วค่อยเดินต่อไปจนถึงบริเวณริมคลองโอตารุ
การเดินทาง: ลงสถานี Otaru เดิน 2 นาที (ดูแผนที่ https://goo.gl/maps/RfMuJgXhwT52) เวลาทำการ: 10:00 -18:00 (ทุกวัน) ค่
ค่าเข้า: ฟรี
หลายคนคงคุ้นภาพของหุบเขานรก Jigokudani จากหนังเรื่องแฟนเดย์กันดี โดยหุบเขานรกนี้ตั้งอยู่ในบริเวณเมืองแห่งออนเซ็น Noboribetsu เกิดขึ้นจากการปะทุของภูเขาไฟจนกลายเป็นบ่อกว้าง 450 เมตร อันเป็นแหล่งกำเนิดน้ำร้อนหลากหลายชนิดของออนเซ็นในเมือง จนได้ชื่อว่าเป็นห้างสรรพสินค้าของออนเซ็น ภายในจะอบอวลไปด้วยควันสีขาวไอร้อนของน้ำและแร่ธาตุกำมะถันที่ระอุขึ้นมาจากบ่อ นอกจากนี้ในช่วงกลางเดือนตุลาคมยังเป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ติดอันดับต้นๆของญี่ปุ่นอีกด้วย เมื่อเดินผ่านทางเข้าจะพบกับจุดชมวิว 2 จุดที่เหมาะแก่การเก็บภาพบรรยากาศของหุบเขานรก หากเดินต่อไปทางเหนือประมาณครึ่งชั่วโมงจะพบกับบ่อกำมะถัน Oyunuma อุณหภูมิ 50 องศา และบ่อโคลนเดือดอุณหภูมิสูงถึง 130 องศาที่อยู่ติดกัน บริเวณลำธาร Oyunumagawa ยังมีบริเวณให้พักผ่อนแช่เท้าฟินๆในน้ำร้อนไปพลางชมวิวไปพลาง
การเดินทาง: จากสถานี JR Noboribetsu ขึ้นรถบัส Donan ลงป้าย Noboribetsu Onsen เดิน 10 นาที (ดูแผนที่ https://goo.gl/maps/crVMikjLVpG2)
เวลาทำการ: 24 ชั่วโมง
ค่าเข้า: ฟรี
เมืองท่า Hakodate ที่มีวิวทิวทัศน์ที่สวยงามหลายจุดให้ได้ชม เริ่มจากหอคอย Goryokaku ซึ่งเป็นจุดชมทัศนียภาพของป้อมดาวห้าแฉกที่มีความแปลกตา อันเป็นเอกลักษณ์ของเมือง Hakodate ซึ่งเมื่อมองลงมาจากจุดชมวิวจะเห็นป้อมปราการสไตล์ตะวันตกรูปดาวขนาดใหญ่ ตรงตามชื่อ Go ที่แปลว่าห้า และ Ryokaku ที่แปลว่าแฉก นอกจากนี้ยังสามารถมองเห็นวิวของเทือกเขา Hakodate และช่องแคบ Tsugaru ตัวหอคอยแห่งแรกถูกสร้างขึ้นในปี 1964 มีความสูง 60 เมตร เพื่อฉลอง ในภายหลังได้มีการสร้างหอคอยแห่งใหม่ในปี 2006 ซี่งมีความสูง 107 เมตร และมีลักษณะเป็นห้าเหลี่ยม เพื่อให้สอดคล้องกับป้อมดาวห้าแฉก สำหรับใครที่ไม่กลัวความสูง บริเวณชั้นชมวิวจะมีพื้นกระจกให้ได้ลองไปยืนวัดใจกันด้วย โดยในฤดูใบไม้ผลิ ต้นซากุระกว่าพันต้นที่ถูกปลูกไว้บริเวณคูน้ำรอบป้อมจะบานสะพรั่งเป็นสีชมพูสวยงาม อย่างพร้อมเพรียงในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม ทำให้ที่นี่กลายเป็นจุดชมซากุระที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่น ส่วนในฤดูหนาวก็จะถูกปกคลุมด้วยปุยหิมะสีขาว และมีการประดับไฟสว่างไสวในยามค่ำคืน
การเดินทาง: รถรางลงป้าย Goryokaku Koen-mae (ดูแผนที่ https://goo.gl/maps/mYn1ZmxfGr72)
เวลาทำการ: 9:00 – 18:00 (ตุลาคม-เมษ
พักผ่อนชิลๆที่ Tomamu Hoshino Resort ซึ่งมีสระน้ำ Mina Mina Beach ซึ่งเป็นสระว่ายน้ำในร่มที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ด้วยความกว้างถึง 30×80 เมตร แม้รีสอร์ทจะตั้งอยู่บนเขา สระน้ำแห่งนี้ก็ได้ถูกออกแบบมาให้เหมือนทะเล โดยมีเครื่องสร้างคลื่นซึ่งจะสร้างคลื่นขนาดใหญ่ทุกๆ 1 ชั่วโมง นอกจากคลื่นแล้วยังมีการปรับสภาพอากาศให้อบอุ่นราวกับหน้าร้อนตลอดปี โดยการสร้างกำแพงให้มีลักษณะเป็นเรือนกระจกเพื่อควบคุมอุณหภูมิ แม้จะเป็นหน้าหนาวก็สามารถสนุกกับการเล่นน้ำได้ นอกจาก Wave Pool แล้วยังมีโซนอื่นๆที่น่าสนใจสำหรับทุกเพศทุกวัย เช่น สระว่ายน้ำสำหรับเด็ก ที่มีความลึก 30 เซนติเมตร และเต็มไปด้วยลูกบอลพลาสติกให้เด็กๆได้เพลิดเพลินกันอีกด้วย สำหรับผู้ใหญ่ที่ต้องการพักผ่อน สามารถไปแช่น้ำร้อนในบ่อออนเซ็นกลางแจ้ง Kirin-no Yu
การเดินทาง: นั่ง Shuttle Bus ของรีสอร์ท (ดูแผนที่ https://goo.gl/maps/9SuhWZDtpCz)
เวลาทำการ: 11:00 -20:00 (ทุกวัน)
ค่าเข้า: ผู้ใหญ่ 2,500 เยน, เด็ก 1,000 เยน (ฟรี สำหรับแขกโรงแรม Hoshino Resorts Tomamu)
แวะสัมผัสบรรยากาศอันศักดิ์สิทธิ์ของโบสถ์กลางน้ำ ผลงานการออกแบบของสถาปนิกชื่อดัง Ando Tadao ด้วยคอนเซปของการนำธรรมชาติมาผสมผสานกลมกลืนไปกับสถาปัตยกรรม ภายในตัวโบสถ์ถูกล้อมด้วยกำแพงคอนกรีต เมื่อมองออกไปบริเวณด้านหน้า จะพบไม้กางเขนขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่กลางน้ำ เสียงน้ำและลมที่พัดผ่านเบาๆ ชวนให้รู้สึกถึงความขลังและสงบราวกับได้ชำระล้างจิตใจ ทำให้หนุ่มสาวชาวญี่ปุ่นนิยมจัดพิธีแต่งงานในโบสถ์แห่งนี้
การเดินทาง: นั่ง Shuttle Bus ของรีสอร์ท (ดูแผนที่ https://goo.gl/maps/Uor4d7z2nfT2)
เวลาทำการ: 6:30 – 7:30 และ 20:30 – 21:30 (ทุกวัน)
ค่าเข้า: ฟรี (สำหรับแขกโรงแรม Hoshino Resorts Tomamu)
แวะไปล่องลอยท่ามกลางหมู่เมฆบนระเบียงทะเลหมอก ณ ความสูง 1,088 เมตรจากระดับน้ำทะเล ที่ทำให้รู้สึกใกล้ชิดกับก้อนเมฆราวกับจะเอื้อมมือไปแตะได้ ไฮไลท์อยู่ที่การเดินผ่านปุยเมฆไปตามระเบียง Cloud Walk เพื่อชมวิวแบบพาโนรามาในมุมต่างๆ สัมผัสประสบการณ์ราวกับกำลังนอนลอยอยู่ในอากาศที่ Cloud Pool ที่มีลักษณะเป็นตาข่ายขนาดใหญ่ยื่นออกไปกลางทะเลหมอก และพักจิบกาแฟอุ่นๆไปพลางมองท้องฟ้าไปพลางที่ Tenbou Cafe บริเวณโดยรอบยังมีโซนต่างๆให้ได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศ ไม่ว่าจะเป็น Cloud Bed ที่นั่งนุ่มๆที่ทำจากโฟมยูรีเทน มีรูปทรงคล้ายปุยเมฆ, Cloud Bar เก้าอี้ทรงสูงที่สามารถปีนขึ้นไปชมวิวได้, Contour Bench ม้านั่งที่ทอดตัวยาวไปตามเนินเขา สามารถนั่งชมความงามของธรรมชาติในมุมกว้างแบบสบายๆ หากยังไม่จุใจสามารถลงทะเบียนเพื่อปีนขึ้นไปชมวิว 360 องศาบนยอดเขา Tomamu ได้ โดยใช้เวลาเพียง 40 นาทีเท่านั้น ทั้งนี้ ก่อนเดินทางไปชมทะเลหมอก ควรตรวจสอบสภาพอากาศและเวลาทำการล่วงหน้า จะได้ไม่พลาดชมวิวที่ต้องการ ซึ่งในแต่ละฤดู ลักษณะของก้อนเมฆที่เห็นจะแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิ ความชื้น และทิศทางลม
การเดินทาง: นั่ง Shuttle Bus ของรีสอร์ท (ดูแผนที่ https://goo.gl/maps/3qSmp3kJ6D92)
เวลาทำการ: 5:00 – 7:00 และ 17:00 – 19:00 (ทุกวัน)
ค่าเข้า: ผู้ใหญ่ 1,900 เยน, เด็ก 1,200 เยน (ฟรี สำหรับแขกโรงแรม Hoshino Resorts Tomamu)
สวนสาธารณะ Odori ตั้งอยู่ใจกลางเมืองซัปโปโร ด้วยความที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพันธุ์ไม้กว่า 92 ชนิด จึงถูกเรียกว่าเป็นโอเอซิสของย่านธุรกิจ ลักษณะพิเศษของสวนแห่งนี้คือมีรูปร่างแคบยาวเหมือนถนน ตามชื่อ Odori ที่แปลว่าถนนเส้นใหญ่ โดยมีความยาว 1.5 กิโลเมตรตัดผ่านกลางเมือง นอกจากเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจของชาวเมืองและนักท่องเที่ยวแล้ว ยังเป็นสถานที่จัดอีเว้นท์สำคัญต่างๆ เช่น เทศกาลหิมะซัปโปโร ที่จัดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี เนื่องจากเป็นสวนที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ตัดผ่านเมืองถึง 12 บล็อค บริเวณภายในสวนจึงถูกแบ่งออกเป็นโซนต่างๆ ซึ่งจะมีบรรยากาศแตกต่างกันไป บล็อคที่ 1-2 คือ Exchange Zone ซึ่งเป็นที่ตั้งของ TV Tower บล็อคที่ 3-5 คือ Oasis Zone เป็นพื้นที่สำหรับการแสดง สามารถนั่งพักผ่อนบริเวณรอบน้ำพุได้ บล็อคที่ 6-9 คือ Tsudoi Zone ที่แปลว่าการรวมตัว บริเวณนี้จึงถูกใช้สำหรับจัดอีเว้นท์และการแสดงต่างๆ บล็อคที่ 10-11 คือ Frontier Zone ซึ่งเป็นโซนแห่งวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ จะมีรูปปั้นของบุคคลที่มีบทบาทสำคัญในยุคบุกเบิกตั้งอยู่ บล็อคที่ 12-13 คือ Hana Zone ที่แปลว่า ดอกไม้ โดยจะมีคลองเล็กๆตัดผ่านตรงกลาง และมีดอกไม้นานาชนิดเรียงรายอยู่โดยรอบ
การเดินทาง: สถานี Odori (ดูแผนที่ https://goo.gl/maps/vjsnPhN8hBx)
เวลาทำการ: 24 ชั่วโมง
ค่าเข้า: ฟรี
ถนนช้อปปิ้งเก่าแก่ Tanukikoji เป็นสวรรค์ของนักช้อปที่มีความยาวกว่า 1 กิโลเมตร กินพื้นที่ตั้งแต่บล็อค 1 ไปจนถึงบล็อค 7 มีลักษณะเป็นทางเดินที่มีหลังคาโค้งสูงและมีร้านค้าเรียงรายตลอดสองข้างทางมากถึง 200 ร้าน รวมทั้งร้านยอดนิยมอย่าง Donki และร้านขายรองเท้า ABC Mart ที่ตั้งอยู่ในบล็อค 3 นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งซื้อของฝากและของขึ้นชื่อจากฮอกไกโดที่มีให้เลือกสรรมากมาย
การเดินทาง: ลงสถานี Odori เดิน 5 นาที หรือนั่งรถไฟใต้ดินสาย Nanboku ลงสถานี Susukino หรือนั่งรถรางลงสถานี Tanukikoji (ดูแผนที่ https://goo.gl/maps/xsFT3NhQMb42)
เวลาทำการ: 24 ชั่วโมง (ทุกวัน)
ค่าเข้า: ฟรี
ย่านซูซูกิโนะเป็นแหล่งบันเทิงยามค่ำคืนที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นตอนเหนือ ในเวลากลางคืนจะครึกครื้นและสว่างไสวไปด้วยป้ายไฟและแสงสี เทียบได้กับย่าน Kabukicho ของโตเกียว โดยมีแลนด์มาร์คเป็นป้ายไฟ Kirin ที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่กลางสี่แยก บริเวณโดยรอบประกอบไปด้วยร้านอาหาร ผับ บาร์ คาราโอเกะ และแหล่งช้อปปิ้งปลอดภาษี รวมแล้วมากกว่า 4,000 ร้าน ในย่านที่ไม่เคยหลับใหลแห่งนี้มีร้านกินดื่มมากมายหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น Nomihodai ที่สามารถดื่มได้ไม่อั้น บาร์แจ๊ส แด๊นซ์คลับ ไปจนถึงร้านคราฟเบียร์ที่มีทั้งเบียร์ local และเบียร์ต่างประเทศ หากท้องหิวก็สามารถแวะเติมพลังได้ที่ตรอกราเมง หรือที่เรียกว่า Ramen Yokocho แต่ละร้านจะมีท้อปปิ้งที่แตกต่างกันออกไป ว่ากันว่ามิโสะราเมงของขึ้นชื่อของฮอกไกโดก็มีต้นกำเนิดจากที่นี่ด้วย
การเดินทาง: ลงสถานี Susukino หรือเดิน 15 นาทีจากสถานี JR Sapporo (ดูแผนที่ https://goo.gl/maps/dPYxQAF8xmP2)
ค่าเข้า: ฟรี
พิพิธภัณฑ์เบียร์ Sapporo จากในภาพจะเห็นว่าอาคารอิฐแดงอายุกว่า 100 ปีแห่งนี้เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์เบียร์ซัปโปโรที่ผู้ชื่นชอบเบียร์ไม่ควรพลาด ภายในอาคารมีการจัดแสดงประวัติความเป็นมาของเบียร์ในฮอกไกโด ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของเบียร์ในประเทศญี่ปุ่น รวมถึงขั้นตอนการผลิต และข้อมูลเชิงลึกของเบียร์ กิจกรรมยอดนิยมอีกอย่างหนึ่งของที่นี่คือพรีเมียมทัวร์ ที่เปิดโอกาสให้ลองชิมเบียร์ชนิดต่างๆที่ผ่านกรรมวิธีการผลิตแบบเฉพาะในโรงกลั่นแห่งนี้ ติดกับพิพิธภัณฑ์จะมีลานเบียร์ Sapporo Beer Garden ที่รวมร้านอาหารหลากสไตล์ ให้ได้เพลิดเพลินกับการดื่มเบียร์สด พร้อมกับชิมเนื้อแกะย่างบาร์บีคิวจิงกิสข่าน อาหารท้องถิ่นขึ้นชื่อของเมืองนี้ที่มาพร้อมกับซอสสูตรพิเศษ ซึ่งมีให้เลือกทั้งแบบทานไม่อั้นและดื่มไม่อั้น
การเดินทาง: ขึ้นรถไฟใต้ดินสาย Toho ลงสถานี Higashi Kuyakusho-mae เดิน 10 นาที หรือขึ้นรถบัส Chuo จากสถานี Sapporo (ดูแผนที่ https://goo.gl/maps/ycX1EVphpnz)
เวลาทำการ: 11:00 -19:00 (ปิดวันจันทร์)
ค่าเข้า: ฟรี (สามารถซื้อทัวร์เพิ่มได้)
รวม 17 สถานที่เที่ยว ที่ชาว Pantip แนะนำว่าห้ามพลาด ณ Nikko (นิกโก้) ประเทศญี่ปุ่น
บทสรุปส่งท้าย : ฮอกไกโด (Hokkaido) น่าไปเที่ยวตามรอยชาว Pantip หรือเปล่า!?
ฮอกไกโด (Hokkaido).. แม้จะมีชื่อเสียงอย่างมากในช่วงฤดูหนาว แต่ในช่วงฤดูอื่น ก็มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมาย เหมาะกับการแวะไปท่องเที่ยวเยี่ยมเยือนเป็นอย่างมากเช่นกัน ส่วนหลักฐานว่าฮอกไกโด (Hokkaido) มีความสวยงามน่าเที่ยวอย่างมากคือ การที่ชาว Pantip หลายคนที่เคยมีโอกาสไปเที่ยว ณ ฮอกไกโด (Hokkaido) มาก่อนหลายคนกลับไปเยือนอีกหลายต่อหลายครั้งกันเลยทีเดียว..
ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจากเว็บไซต์ Pantip
[CR] 4คืน 5วัน @ฮอกไกโด โคตรโรแมนติก
[CR] Review HOKKAIDO 7 days 6 nights งบไม่เกิน 35,000 บาท – ตอนที่ 1
[CR] รีวิวเที่ยวฮอกไกโดโดยไม่ใช้ JR-Pass/Hokkaido Pass ไปไหนไปกานนน!!
[CR] “ฮอกไกโด 2018” เที่ยวหน้าหนาว ตะลุยหิมะ Sapporo – Hakodate
[CR] รีวิวเที่ยวฮอกไกโด ฉบับดองรูปไว้ปีกว่าๆ