ชาว Pantip อยากบอก ตับอักเสบมีอาการที่สังเกตเห็นได้
บางคนอาจจะรู้สึกเป็นห่วงเมื่อมีอาการปวดท้อง เกี่ยวกับอวัยวะภายในอย่างเช่นตับ เนื่องจากเราไม่สามารถสังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่า จึงจำเป็นต้องสังเกตอาการหรือมีเครื่องมือทางการแพทย์เพื่อที่จะตรวจ แต่ส่วนใหญ่แล้ว จะรู้ว่าตัวเองเป็นตับอักเสบก็ต่อเมื่อมีอาการหนัก และรักษาไม่ได้แล้ว จึงยากที่จะทำการสังเกตเพื่อรู้อาการตั้งแต่แรก เพื่อที่จะได้ทำการรักษาให้หายได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ชาว Pantip จึงอยากมาแชร์ประสบการณ์สำหรับคนที่เคยเป็นตับอักเสบมาก่อน มีการสังเกตอย่างไรและอาการแบบไหนที่แสดงว่าเข้าข่ายตับอักเสบแล้ว ตามมาอ่านกันเลย
ชาว Pantip อยากบอก ตับอักเสบมีอาการอย่างไร?
‘ตับ’ เป็นอวัยวะที่สำคัญและมีขนาดใหญ่ที่สุดในช่องท้องของมนุษย์ อยู่บริเวณใต้ชายโครงด้านขวา มีทั้งกลีบซ้ายและกลีบขวา หน้าที่หลักของตับคือจะช่วยในการสร้างน้ำดีเพื่อย่อยอาหาร สร้างสารที่เป็นส่วนประกอบของโปรตีน มีความสำคัญมากต่อระบบเมตาบอลิซึม (Metabolism) ของร่างกาย และช่วยกำจัดพิษของสารต่างๆ เป็นต้น ซึ่งหากวันหนึ่งตับเกิดการอักเสบขึ้นมา เซลล์ของตับจะถูกทำลายและส่งผลต่อการทำหน้าที่ต่างๆ ของตับ ทำให้เราไม่มีแรง และเกิดอาการเจ็บป่วยตามมาในที่สุด
ตับอักเสบ คือภาวะการอักเสบของตับซึ่งเกิดจากการติดเชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย ยา แอลกอฮอล์ และสารเคมี เป็นต้น โดยการเกิดตับอักเสบจากเชื้อไวรัส (Viral Hepatitis) ในปัจจุบันนั้นมีหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น ไวรัสตับอักเสบ A, B, C, D, E และไวรัสชนิดอื่นๆ เช่น ไข้เลือดออก ฯลฯ แต่ที่พบได้บ่อยในบ้านเราจะเป็นไวรัสตับอักเสบ B และ C ชนิดเรื้อรัง
อาการของตับอักเสบ
1.รู้สึกเหนื่อย เมื่อยล้าตลอดเวลา
2.แวดล้อม ปวดกล้ามเนื้อ
3.รู้สึกไม่สบาย มีไข้สูงตั้แต่ 38 องศา
4.ปัสสาวะสีเข้ม
5.อุจจาระสีชัด
6.ปวดท้อง
7.เบื่ออาหาร
8.คันตามผิวหนัง
9.ภาวะดีซ่านหรือมีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง
ชาว Pantip อยากบอก คนที่เป็นตับอักเสบมีอาการอย่างไร?
อาการที่บ่งบอกชัดเจนที่สุด เมื่อคุณเริ่มเป็นไวรัสตับอักเสบ?
คนไข้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ A และ E จะมีอาการแบบเฉียบพลันคือ มีอาการเบื่ออาหาร คลื่นไส้ เพลียในระยะก่อนเหลือง ตามมาด้วยอาการเหลือง อาการมักเกิดขึ้นทันทีและรุนแรง เช่น มีไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ อาจมีปวดเสียดหรือจุกแน่นแถวลิ้นปี่ หรือชายโครงขวาเพราะตับโต ปัสสาวะสีเหลืองเข้ม อาจมีอุจจาระสีซีด อาการจะเกิดขึ้นหลังได้รับเชื้อประมาณ 15-60 วัน และสามารถตรวจพบเชื้อจากอุจจาระได้ใน 14 วันหลังเกิดอาการ ซึ่งอาการเหล่านี้จะมีอยู่ประมาณ 2 สัปดาห์ จนถึง 3 เดือน แล้วมักจะหายได้เองโดยไม่มีโรคแทรกซ้อนอะไร แต่ก็ยังพบได้ว่ามีคนไข้บางรายอาจเสียชีวิตจากอาการตับวายได้เช่นกัน ตรงกันข้ามกับไวรัสตับอักเสบ C ที่ส่วนใหญ่แล้วจะไม่มีอาการใดๆ เลย คนไข้มักจะรู้ได้จากการตรวจการทำงานของตับที่ผิดปกติหรือเมื่อมีอาการตับแข็งหรือเป็นมะเร็งตับไปแล้วนั่นเอง
ส่วนไวรัสตับอักเสบ B และ D จะมีอาการเฉียบพลัน คนไข้จะรู้สึกคลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย ตัวเหลือง ตาเหลือง ซึ่งโดยส่วนใหญ่คนไข้มักจะได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบ B และ D พร้อมกัน หรืออาจเป็นคนไข้ที่เป็นไวรัสตับอักเสบ B อยู่ก่อนแล้วจึงเป็นไวรัสตับอักเสบ D ภายหลังก็เป็นได้เช่นกัน คนไข้กลุ่มนี้จะมีโอกาสเป็นตับอักเสบเรื้อรังและตับแข็งได้
สาเหตุมาจากทำงานหนักแล้วร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ เลยทำให้ตับทำงานหนักกว่าปกติ
กว่าคุณหมอจะตรวจหาสาเหตุเจอ เล่นเอานอนรพ.ไปสามวัน เพราะตอนแรกนึกว่าเป็นไ้ข้ปกติ
ตรวจเลือดก็หาไม่เจอสาเหตุ ต้องเจาะเลือดไปหลายรอบ
อาการตับอักเสบจากไวรัส มัก มาด้วย อาการคล้ายหวัดนำมาก่อน แล้วค่าตับสูงขึั้นตามมา (prodome symptom) ส่วนใหญ่มาเจอหมอ มักเหลืองขึ้นนิดๆแล้ว หมอจึงสงสัยตับอักเสบ แต่การรักษาก็ตามนั้น แต่ถ้าตับอักเสบจากสาเหตุอื่น มักไม่มี prodome คือมาด้วยตัวเหลืองอ่อนๆ+อ่อนเพลีย เลย การรักษาก็เหมือนกัน
ชาว Pantip ให้ข้อมูลปี 2022!! ปวดหัวด้านหลังเป็นอะไรได้บ้าง?
ชาว Pantip อยากบอก ไวรัสตับอักเสบ B มีอาการ
ไวรัสตับอักเสบ B เป็นโรคที่พบว่าเป็นกันมาก เรียกว่าน่ากลัวพอๆ กับโรคเอดส์เลยด้วยซ้ำ เพราะเป็นโรคที่มีสาเหตุการติดเชื้อไวรัสส่วนใหญ่มาจากการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์เป็นหลัก ซึ่งในสังคมปัจจุบันนั้นคนส่วนใหญ่มักจะลืมใส่ใจเรื่องของการสวมถุงยางอนามัย และมีพฤติกรรมการเปลี่ยนคู่นอนโดยไม่ได้มีการป้องกันใดๆ หรือแม้แต่การมีรักร่วมเพศกับผู้ที่ติดเชื้ออยู่ ก็เป็นสาเหตุของการถ่ายทอดเชื้อไวรัสตับอักเสบ B ได้เช่นกัน
เรามักจะพบว่าผู้ที่ติดเชื้อ หรือผู้ที่เป็นพาหะเองจะไม่ค่อยมีอาการใดๆ ให้เห็นชัดเจนนัก ทำให้ไม่ทราบว่าตัวเองติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดนี้อยู่ จึงเกิดการแพร่เชื้อได้ง่ายมากขึ้น และนอกจากการติดเชื้อเพราะไปมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่เป็นพาหะแล้ว ยังสามารถติดต่อได้จากการรับเลือดหรือสารที่ปนเปื้อนเลือด เช่น การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน การเสพยาเสพติดแบบใช้เข็ม การล้างไต การเจาะหู การสักตัวหรือคิ้วโดยไม่เปลี่ยนเข็ม การใช้ใบมีดโกนและแปรงสีฟันกับคนที่มีเชื้ออยู่ การได้รับเชื้อจากแม่ไปสู่ลูกในขณะตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร และหากมีการติดเชื้อแล้ว คนไข้กลุ่มนี้ยังมีโอกาสที่จะเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง และเป็นโรคตับแข็งเหมือนคนที่ดื่มเหล้าเป็นประจำอีกด้วย ซึ่งเมื่อมีภาวะตับแข็งแล้วก็อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนต่างๆ เช่น เลือดออกในทางเดินอาหาร ไตวาย เกิดความผิดปกติในสมองและนำไปสู่การเกิดมะเร็งตับได้
ชาว Pantip ข้อสรุปตับอักเสบมีอาการให้เห็นไว้ว่า
พอจะรู้จักความน่ากลัวของไวรัสตับอักเสบบีแล้วหรือยัง ตับอักเสบ ถ้าไม่รู้ตัวหรือรักษาไม่ถูกต้องอาจเสียชีวิตได้ เมื่อมีอาการป่วยก็จำเป็นต้องหาสาเหตุให้เจอก่อน การสังเกตอาการภายนอกข้างต้นก็จะสามารถทำให้รู้สาเหตุได้ว่าเป็นมาจากอะไร การจะรู้ว่าเป็นสาเหตุมาจากการมีอาการตับอักเสบนั้นดูได้จาก
1. มีอาการอ่อนเพลียเหนื่อยล้าตลอดเวลา เนื่องจากการทำงานปกติของตับ ทำให้รู้สึกเหนื่อยอ่อน ไม่มีเรี่ยวแรง
2. มีไข้ขึ้นสูง มากกว่า 38 องศา เพราะร่างกายกำลังมีการต่อต้านไวรัสเกิดขึ้น ทำให้กระบวนการทำงานต่อต้านไวรัส ส่งเสริมให้ร่างกายมีอุณหภูมิสูง
3. อาการผิดปกติตามมา อีกมากมาย ที่ทำให้เรารู้ว่าระบบภายในไม่ปกติส่งผลให้ภายนอก มีอาการหลายแบบตามขึ้นมาอีกด้วย
[ยา แก้ ไซนัส] ที่ชาว Pantip ใช้กัน พร้อมความรู้ดีๆเกี่ยวกับโรคไซนัสปี 2022
สรุปสุดท้าย : ชาว Pantip บอกว่าตับอักเสบมีอาการภายนอกให้เห็น
บอกได้เลยว่าการตับอักเสบสามารถสังเกตุเห็น สาเหตุได้ยากมาก เนื่องจากอาการจะเกิดขึ้นกับร่างกายทั่วทั้งตัว ถ้าเป็นเฉพาะเจาะจงก็สามารถระบุได้ว่าเป็นอะไร แบบนี้ต้องหาสาเหตุให้เจอ และต้องดูด้วยว่าถ้าเป็นตับอักเสบแล้วอยู่ในขั้นหรือระยะไหน ถ้าอยู่ในระยะแรกก็สามารถทำการรักษาได้ ชาว Pantip เลยอยากจะขอแนะนำว่าให้เข้าทำการตรวจสอบเพื่อดูอาการเมื่อรู้สึกเจ็บป่วย และเพื่อเป็นการป้องกันตัวเอง ก็สามารถทำการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอดูแลสุขภาพด้วยการออกกำลังกายสม่ำเสมอด้วย