[6] สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการชาปลายนิ้วโป้ง รวมข้อมูลที่น่าสนใจจากชาว Pantip!

อาการชา เฉพาะที่ไม่ได้เกิดจากขาด vitaminแน่ ก่อนอื่นให้สำรวจว่าการชา คืออะไร ….หนาๆ หรือระยิบระยับ และการชานั้นเป็นด้านฝ่ามือ หรือหลังมือ หรือ2ด้าน ตลอดจนเป็นๆหายๆ หรือตลอดเวลาครับ ส่วนเหตุ เกิดได้ตลอดแนวตั้งแต่ประสาทส่วนปลาย  รากประสาทที่คอ จนถึงผิวสมอง(โดยเฉพาะหากชาปากด้วย) เพราะarea ที่ผิวสมอง ปากกับนิ้วโป้ง อยู่ติดกัน คงเดาไม่ได้หรอกครับว่าเกิดจากอะไรเนื่องจากข้อมูลยังไม่ครบ ส่วนเหตุมีทั้งอันตราย และเหตุที่รอได้นะครับ

คลิก! อ่านกระทู้ต้นฉบับ

เส้นประสาทถูกกดทับค่ะ ส่วนมากเป็นที่เส้นประสาทข้อมือ มักชานิ้วชี้ นิ้วกลางร่วมด้วย แต่บางคนก็มีปัญหาบริเวณต้นคอ ทำให้ชาออกปลายมือได้เช่นกัน ถ้าเป็นมากควรพบแพทย์นะคะ ควรพักมือ ทานยาบำรุงปลายประสาท การรักษามีทั้งทานยา ฉีดยา และผ่าตัดค่ะ

คลิก! อ่านกระทู้ต้นฉบับ

แต่หลักๆก็คือเกิดจากการที่เส้นประสาทถูกกดทับ หรือเลือดไปเลี้ยงที่บริเวณนั้นๆไม่เพียงพอทำให้มีอาการชาที่ปลายประสาทเกิดขึ้นได้ หรือเรียกอีกอย่างว่า “โรคเหน็บชา” นั่นเอง นอกจากนี้อาจเกิดจากการที่ร่างกายขาดวิตามิน B1 จึงทำให้มีอาการชาตามนิ้วมือนิ้วเท้าได้บ่อยกว่าปกติ การใส่รองเท้าที่คับแน่น หรือการสวมรองเท้าเดินนานๆก็มีผลให้เกิดอาการชาตามนิ้วเท้าได้

คลิก! อ่านกระทู้ต้นฉบับ

เป็นอาการกล้ามเนื้อหดตัว คุณกินนมหรือแคลเซียมหรือไม่ ไม่ค่อยกินผักผลไม้ใช่ไหม

คลิก! อ่านกระทู้ต้นฉบับ

อาการชา สาเหตุที่สำคัญของการมีอาการชาตามนิ้วมือ มักจะเกิดได้จากการที่เส้นประสาทที่ควบคุมการทำงานของนิ้วมือ และ เส้นเลือดที่เข้าไปหล่อเลี้ยงมือถูกกดทับจากปัญหาต่าง ๆ บางครั้งก็อาจได้รับความกระเทือนจนเกิดความเสียหายได้ และโดยทั่วไป อาจจะจำแนกบริเวณที่ชาตามสาเหตุของโรคค่ะ เช่น ชาปลายนิ้วมือเกือบทุกนิ้ว แต่ไม่มีอาการชาปลายเท้า อาจเกิดจากการใช้มือ ทำงานหนัก เช่น ขี่มอเตอร์ไซค์ต่อเนื่องนาน ๆ เล่นโทรศัพท์บ่อย ๆ ครั้งละนาน ๆ ซึ่งอาจทำให้เอ็นกดทับเส้นประสาทตรงข้อมือได้ หรือชานิ้วก้อย นิ้วนาง และด้านข้างฝ่ามือ อาจเกิดจากเส้นประสาทบริเวณข้อศอกถูกกดทับ ทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก หรือ ถ้ามีอาการชาง่ามนิ้ว ระหว่างนิ้วโป้งและนิ้วชี้ อาจเกิดจากเส้นประสาทกดทับที่ต้นแขนได้ค่ะ ทั้งนี้ การรักษามักจะขึ้นอยู่กับสาเหตุที่เป็นและระยะที่มีอาการชา ในเบื้องต้น หากคุณยังคงมีอาการชานิ้วมืออยู่ แนะนำให้คุณ กลับไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกและข้อ เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยอาการอย่างละเอียดอีกครั้งนะคะ ซึ่งถ้าพบความผิดปกติ คุณจะได้รับการรักษาที่เหมาะสมต่อไปค่ะ

คลิก! อ่านกระทู้ต้นฉบับ